วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทฤษฎีภาวะผู้นำ ตามสถานการณ์




ทฤษฎีภาวะผู้นำ ตามสถานการณ์
                                                     
          ตลอดระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 ปี ที่ผ่านมา บุคคลในวงการบริหารได้เข้าร่วมกันทำการศึกษาวิจัยเพื่อหาแบบภาวะผู้นำที่ดีที่สุด  ผลการวิจัยได้ปรากฏเป็นหลักฐานอย่างชัดเจนว่าไม่มีแบบภาวะผู้นำในลักษณะที่มีความมุ่งหมายแบบครอบจักรวาล ผู้นำที่ประสบความสำเร็จคือผู้นำที่สามารถปรับพฤติกรรมของเขาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ซ้ำแบบกัน
             ทฤษฎีภาวะผู้นำสถานการณ์ตั้งอยู่บนพื้นฐาน  3  ประการ คือ
1.       จำนวนปริมาณของการออกคำสั่ง คำแนะนำ (พฤติกรรมด้านงาน) ของผู้นำที่แสดงออกในแต่ละสถานการณ์
2.       จำนวนปริมาณของการสนับสนุนทางอารมณ์สังคม   (พฤติกรรมด้านมนุษย์สัมพันธ์) ของผู้นำที่แสดงออกในแต่ละสถานการณ์


3.       ระดับความพร้อม (วุฒิภาวะ) ที่ผู้ตามหรือกลุ่มผู้ตามแสดงออกมาในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย บทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบ หรือวัตถุประสงค์
ซึ่งผู้นำพยายามให้ผู้ตามกระทำได้สำเร็จ
             ระดับความพร้อมหรือระดับวุฒิภาวะในทฤษฎีภาวะผู้นำตามสถานการณ์นี้  หมายถึง  ความสามารถและความเต็มใจของบุคคลที่จะรับผิดชอบสำหรับนำพฤติกรรมของเขาเอง ตัวแปรวุฒิภาวะเหล่านี้ควรจะได้รับการพิจารณาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงานในหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติเท่านั้น จึงกล่าวได้ว่าในความรู้สึกทั่วไปนั้น มิได้หมายความว่าบุคคลหรือคณะบุคคลไม่ได้บรรลุนิติภาวะ ทุกคนมีแนวโน้มด้านวุฒิภาวะที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้โดยขึ้นอยู่กับงาน ภาระหน้าที่ หรือวัตถุประสงค์ที่ผู้นำพยายามกระทำให้สำเร็จโดยอาศัยบุคคลเหล่านั้น การกำหนดระดับวุฒิภาวะอาจกำหนดได้ในลักษณะเฉพาะของบุคคลหรือกำหนดระดับวุฒิภาวะของคณะบุคคลในฐานะกลุ่มก็ได้ เช่น กลุ่มที่มีความสัมพันธ์กันในงานประเภทเดียวกัน

              มโนทัศน์พื้นฐานของภาวะผู้นำตามสถานการณ์

        จากจุดยืนของภาวะผู้นำตามสถานการณ์ ไม่มีทางที่ดีที่สุดเพียงอย่างเดียวที่จะใช้อิทธิพลต่อบุคคล  แบบภาวะผู้นำแบบใดที่ผู้นำควรใช้กับบุคคลหรือคณะบุคคลหรือกลุ่มนั้น ขึ้นอยู่กับระดับวุฒิภาวะหรือควาามพร้อมของบุคคลหรือคณะบุคคลหรือกลุ่มที่ผู้นำพยายามที่จะใช้อิทธิพลต่อพวกเขา 

-          พฤติกรรมด้านงาน  (Task Behavior)  เป็นพฤติกรรมที่ผู้นำเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยการสื่อความหมายทางเดียว โดยการอธิบายว่า อะไรบ้างที่ผู้ตามแต่ละคนจะต้องทำ ทำเมื่อไร ที่ไหน  และทำอะไร เพื่อให้งานในหน้าที่ได้รับผลสำเร็จ
-          พฤติกรรมด้านมนุษย์สัมพันธ์  (Relationship  Behavior )   เป็นขั้นที่พฤติกรรมที่ผู้นำเข้าไม่เกี่ยวข้องด้วยการสื่อความหมายสองทาง โดยการให้การสนับสนุนด้านอารมณ์สังคม  การให้กำลังใจ และพฤติกรรมที่เอื้ออำนวยความสะดวกต่าง ๆ
        ขณะที่ระดับวุฒิภาวะของผู้ตามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในแง่ของการทำงานในหน้าที่ให้สำเร็จนั้น ผู้นำควรลดพฤติกรรมด้านมนุษย์สัมพันธ์ เรื่องนี้แล้วแต่กรณีจนกว่าแต่ละกรณีจนกว่าแต่ละบุคคลหรือกลุ่มบรรลุระดับวุฒิภาวะปานกลาง ขณะที่ผู้ตามเริ่มเคลื่อนไปสู่ระดับสูงกว่าระดับวุฒิภาวะปานกลางก็เป็นการเหมาะสมสำหรับผู้นำที่จะบดไม่แต่เฉพาะพฤติกรรมด้านงานเท่านั้น แต่บดพฤติกรรมไม่เพียงแต่บรรลุนิติภาวะในแง่ของการปฎิบัติงานเท่านั้น แต่บรรลุวุฒิภาวะในแง่ของจิตวิทยาด้วย
          เนื่องจากว่าผู้ตามสามารถให้กำลังใจ เพิ่มพลังจูงใจตนเองได้ การสนับสนุนทางอารมณ์ สังคมอย่างใหญ่จากผู้นำจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป  บุคคลที่มีวุฒิภาวะระดับนี้จะมองการลดการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด และเพิ่มการมอบอำนาจให้เป็นตัวแทนของผู้นำไปในทางบวกในแง่ของความไว้วางใจและความเชื่อมั่น เพราะฉะนั้น ทฤษฎี ภาวะผู้นำตามสถานการณ์จะเน้นที่ความเหมาะสมของแบบภาวะผู้นำที่มีประสิทธิผลซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับวุฒิภาวะด้านงานของผู้ตาม
            จากภาพข้างต้นนั้นได้พยายามวาดเพื่อแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวุฒิภาวะด้านงานกับการใช้แบบภาวะผู้นำที่เหมาะสม ในขณะที่ผู้ตามได้ย้ายจากความไม่มีวุฒิภาวะไปยังความมีวุฒิภาวะนอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นปรากฎการณ์ 2 ปรากฏการณ์ ที่แตกต่างกันคือ แบบภาวะผู้นำที่เหมาะสมกับระดับวุฒิภาวะของผู้ตามซึ่งวาดเป็นเส้นโค้งรูประฆังในพื้นที่ทั้งสี่ส่วนประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งคือระดับวุฒิภาวะของบุคคลหรือของกลุ่มซึ่งเป็นรูปแกนต่อเนื่อง เริ่มจากจุดที่บรรลุนิติภาวะน้อยไปยังจุดที่บรรลุภาวะมาก แกนต่อเนื่องนี้ปรากฏอยู่ใต้แบบภาวะผู้นำ
              แบบภาวะผู้นำที่เหมาะสมกับระดับวุฒิภาวะทั้ง 4 ระดับนั้น  จะเป็นการผสมผสานที่ถูกต้องระหว่างพฤติกรรมด้านงาน  ( การแนะนำ )  และพฤติกรรมด้านมนุษย์สัมพันธ์ (  การสนับสนุน ) ดังนี้
              การสั่ง ( Telling ) , (S1) สำหรับวุฒิภาวะต่ำ (M1) บุคคลผู้ซึ่งไม่สามารถและไม่เต็มใจ ( M1)  ที่จะมีความรับผิดชอบในงานเป็นผู้ที่ไม่มีความสามารถเพียงพอ และไม่มั่นใจ    มีกรณีต่าง ๆ  หลายกรณีที่มีความไม่เต็มใจของพวกเขาเป็นผลมาจากความไม่มั่นใจเกี่ยวกับงานที่จะต้องปฏิบัติ ฉะนั้นแบบของการสั่ง ( S1)  ที่อธิบายชัดเจนเกี่ยวกับคำแนะนำต่าง ๆ และการควบคุมคณะบุคคลในระดับวุฒิภาวะนี้ มีความน่าจะเป็นไปได้ด้านประสิทธิผลในระดับสูงสุด แบบภาวะผู้นำแบบนี้เรียกว่า  การสั่ง   เพราะเป็นลักษณะที่ผู้นำชี้แจงบทบาท และสั่งผู้ตามว่าให้ทำงานอะไร อย่างไร เมื่อไร และที่ไหน มากกว่าที่จะใช้เวลาไปให้การสนับสนุนทางอารมณ์ สังคม หรือการให้กำลังใจ แบบนี้ประกอบไปด้วยพฤติกรรมด้านงานสูงและพฤติกรรมด้านมนุษย์สัมพันธ์
               การขาย ( Selling ) , (S2) สำหรับวุฒิภาวะต่ำถึงปานกลาง (M2)  เหมาะสำหรับบุคคลผู้ซึ่งไม่สามารถแต่เต็มใจ (M2) ที่จะรับผิดในงาน เป็นผู้ที่มั่นใจ แต่ขาดความชำนาญในขณะนั้น ดังนั้นแบบภาวะผู้นำ  การขาย ( S2 )  ยังกำหนดพฤติกรรมที่ต้องให้คำแนะนำอยู่เพราะยังขาดความสามารถ  แต่บุคคลที่มีวุฒิภาวะระดับนี้ พฤติกรรมด้านสนับสนุนทางอารมณ์ สังคม เพื่อเพิ่มพลังความเต็มใจ และความกระตือรือร้นด้วยนั้น ดูเหมือนจะเหมาะสมมากที่สุด ที่เรียกว่า การขาย  เพราะคำแนะนำคำสั่งต่าง ๆ ยังมาจากผู้นำ ผู้นำพยายามใช้การสื่อสารสองทาง มีการอธิบาย การรับฟังอย่างสนใจ ให้การสนับสนุนทางอารมณ์ สังคม การให้กำลังใจใช้วิธีการทางจิตวิทยาให้ผู้ตามเห็นด้วยกับการตัดสินใจของผู้นำ ผู้ตามที่มีวุฒิภาวะระดับนี้ตามปกติแล้วจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจของผู้นำ ถ้าพวกเขาเข้าใจถึงเหตุผลสำหรับการตัดสินใจนั้น และถ้าผู้นำเสนอให้การช่วยเหลือและให้คำแนะนำด้วย แบบนี้ประกอบไปด้วยพฤติกรรมด้านงานสูงและพฤติกรรมด้านมนุษย์สัมพันธ์สูง

                  การร่วม ( Participating ), ( S3) สำหรับวุฒิภาวะปานกลางถึงสูง  ( M3) ที่จะทำงานตามที่ผู้นำต้องการ ความไม่เต็มใจของเขามีอยู่บ่อยที่เนื่องมาจากขาดความมั่นใจหรือขาดความมั่นคง อย่างไรก็ตามถ้าหากว่าเขามีความสามารถพอแต่ไม่เต็มใจแล้ว ความไม่สนในที่จะปฏิบัติงานเกิดจากปัญหาการจูงใจมากกว่าปัญหาความมั่นคง กรณีเช่นนี้ผู้นำจำต้องมีนโยบายเปิดประตู คือ ด้วยการสื่อสารสองทางและรับฟังอย่างสนใจเพื่อสนับสนุนผู้ตามให้พยายามใช้ความสามารถที่มีอยู่    ดังนั้น แบบภาวะผู้นำ  การร่วม   (M3) ที่จะทำงานตามที่ผู้นำต้องการ ความไม่เต็มใจของเขาที่มีอยู่บ่อยที่เนื่องมาจากขาดความมั่นุใจหรือขาดความมั่นคง อย่างไรก็ตามถ้าหากว่าเขามีความสามารถพอแต่ไม่เต็มใจแล้ว ความไม่สนใจที่จะปฏิบัติงานเกิดจากปัญหาการจูงใจมากกว่าปัญหาความมั่นคง กรณีเช่นนี้ผู้นำจำต้องมีนโยบายเปิดประตูคือ ด้วยการสื่อสารสองทางและรับฟังอย่างสนใจ  เพื่อสนับสนุนผู้ตามให้พยายามใช้ความสามารถที่มีอยู่  ดังนั้นแบบภาวะผู้นำแบบ  การร่วม   (S3) จึงเป็นแบบที่ให้การสนับสนุน ไม่ออกคำสั่งเหตุที่เรียกว่าการร่วมเพราะผู้นำและผู้ตามร่วมกันในการตัดสินใจ โดยบทบาทหลักของผู้นำนั้นช่วยอำนวยความสะดวกและการติดต่อสื่อสาร แบบนี้ประกอบด้วยพฤติกรรมด้านงานต่ำและพฤติกรรมด้านมนุษย์สัมพันธ์สูง

              การมอบ  (Delegating), (S4)  สำหรับวุฒิภาวะสูง (M4) บุคคลผู้มีวุฒิภาวะในระดับนี้สามารถและเต็มใจ หรือมั่นใจที่จะรับผิดชอบ ดังนั้นรูปแบบการมอบ (S4)  ซึ่งกำหนดคำแนะนำและการสนับสนุนเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับคณะบุคคลที่มีวุฒิภาวะระดับนี้ ความน่าจะเป็นไปได้ด้านประสิทธิผลอยู่ในระดังสูงสุด ถึงแม้ว่าผู้นำยังชี้แจงให้ผู้ตามที่มีวุฒภาวะในระดับนี้เข้าถึงปัญหา ความรับผิดชอบ สำหรับการปฏิบัติตามแผนให้สำเร็จก็ตาม แต่ผู้ตามก็ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการแสดงใดเองและตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ว่าจะปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติเมื่อไร และปฏิบัติที่ไหน ได้เอง ขณะเดียวกันผู้ตามเหล่านี้บรรลุวุฒิภาวะด้านจิตวิทยา ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องมีการสื่อสารสองทางหรือมีพฤติกรรมด้านการสนับสนุนแบบนี้ประกอบด้วยพฤติกรรมด้านงานต่ำและพฤติกรรมด้านมนุษย์สัมพันธ์ต่ำเช่นกัน

                  หัวใจสำคัญในการใช้แบบภาวะผู้นำตามสถานการณ์ คือ กำหนดระดับวุฒิภาวะของผู้ตามและปฏิบัติตามแบบภาวะผู้นำตามที่กำหนดไว้ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนในแบบภาวะผู้นำตามสถานการณ์ คือ ความคิดที่ว่าผู้นำควรจะช่วยผู้ตามให้มีวุฒิภาวะเจริญเติบโตมากที่สุดเท่าที่พวกเขาสามารถ และเต็มใจที่จะมีได้ การพัฒนากลุ่มผู้ตามนี้ควรจะกระทำโดยปรับพฤติกรรมแบบภาวะผู้นำทั้ง   4   แบบ  ไปตามเส้นโค้ง รูประฆัง ดังภาพข้างต้น
                   การพิจารณาว่าแบบภาวะผู้นำแบบใดที่ควรนำมาใช้กับบุคคลในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องพิจารณาหลายสิ่งหลายอย่างด้วยกันเป็นขั้น ๆ คือ
                   ขั้นที่ 1 พิจารณาว่ากิจกรรมของบุคคล หรือ กลุ่มที่ต้องการใช้อิทธิพล เป็นกิจกรรมประเภทใดในโลกของการกิจกรรมแต่ละประเภทเหล่านี้แตกต่างกันไปตามความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล ตัวอย่างเช่น  หัวหน้างานธุรการ มีความรับผิดชอบในด้านหนังสือ เอกสารต่าง ๆ  การเงินอื่น ๆ เพราะฉะนั้น ก่อนที่ผู้นำจะเริ่มพิจารณาแบบภาวะผู้นำที่เหมาะสมเพื่อใช้กับบุคคลแต่ละคนนั้นเขาจะต้องพิจารณาตัดสินว่า ลักษณะงานที่คนปฏิบัติอยู่นั้นเป็นลักษณะงานที่คนปฏิบัติอยู่นั้น เป็นลักษณะงานประเภทใด เมื่อตัดสินใจเรื่องลักษณะงานได้แล้วก็พิจารณาในขั้นต่อไป
                    ขั้นที 2 พิจารณาความสามารถ การจูงใจ ( ระดับวุฒิภาวะ )  ของบุคคลหรือของกลุ่มในแต่ละสายงาน
                    ขั้นที่ 3 เป็นขั้นสุดท้าย  พิจารณาว่าแบบภาวะผู้นำแบบใดใน 4 แบบ ที่เหมาะสมในแต่ละงาน

1.       วุฒิภาวะด้านงาน ( Job Maturity ) หมายถึง ความสามารถที่จะปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งต้องใช้ความรู้และความชำนาญ  บุคคลที่มีวุฒิภาวะด้านงานสูงในสายงานเฉพาะด้านนั้น เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ที่จะปฏิบัติงานโดยไม่มีผู้อื่นควบคุม  แนะนำบุคคลผู้ที่มีวุฒิภาวะด้านงานสูงอาจกล่าวได้ว่า  ปรีชาญาณของข้าพเจ้านั้น จริง ๆ แล้ว  อยู่ที่ลักษณะงานของข้าพเจ้านั่นเอง ข้าพเจ้าสามารถปฏิบัติงานในสายงานนั้นด้วยตัวเอง โดยหัวหน้าไม่ต้องช่วยเหลืออะไรมากนัก
2.        วุฒิภาวะด้านจิตวิทยา ( Psychological Maturity ) หมายถึง  การเต็มใจหรือการจูงใจที่จะปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องมีความมั่นใจหรือปณิธานบุคคลที่มีวุฒิภาวะด้านจิตวิทยาสูง ในสายงานเฉพาะอย่าง หรือมีความรับผิดชอบนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ และมีความรู้สึกพอใจในตัวเองในลักษณะงานที่เขาปฏิบัติ  เขาไม่ต้องการให้กำลังใจ เพื่อให้เกิดการทำงานในสายงานนั้น บุคคลที่มีวุฒิภาวะด้านจิตวิทยาสูง 


แหล่งที่มา : ฝ่ายเอกสารและตำรา มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก
อ้างอิง :
สิทธิศักดิ์ นิระมล.”ทฤษฎีภาวะผู้นำตามสถานการณ์”,มิตรครู, ปีที่ 32 ฉบับที่ 6 ปักษ์หลัง , 2533.

     

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น