วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

องค์กรแห่งศรัทธา ความรัก และการให้

องค์กรแห่งศรัทธา ความรัก และการให้


ดร.พงศ์ศรันย์ พลศรีเลิศ
phongzahrun@gmail.com
 14 กุมภาพันธ์ 2554 วันนี้เป็นวันแห่งความรัก (Valentine Day) เป็นวันที่มีรอยยิ้ม ความสดชื่น ความคาดหวังเกิดขึ้นในใจของใครหลายคนโดยเฉพาะวัยรุ่น หนุ่มสาว ที่อยากบอกใครสักคนว่า “ฉันรักเธอ” อยากได้ยินใครสักคนที่คาดหวังบอกว่า “ฉันรักคุณ”
และเช่นเดียวกับคนไทยอีกหลายล้านคน กำลังถามหาความรักของคนไทยด้วยกันเอง ความเอื้ออาทรต่อกัน การไม่แบ่งสี มีความสามัคคีไม่แตกแยก ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าวันแห่งความรักในวันนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ดีของประเทศได้หรือเปล่า
เรื่องของประเทศมันอาจเป็นเรื่องที่ไกลเกินไปสำหรับผมในการที่จะฝันถึง เพราะความรักของคนในชาติจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราได้ลดความเห็นแก่ตัวลงไปเสียก่อน  และพิจารณาเหตุผลบนหลักการของความถูกต้อง ไม่ใช่หลักที่กูเห็นว่าถูกต้อง ต้องเปิดรับฟังข้อมูลให้รอบด้าน ไม่ปิดกั้นตัวเองในการรับฟังข้อมูลอีกด้านที่เราไม่ชอบ เพราะว่า “เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ”
ผมมีหนังสือดีในมืออยู่เล่มหนึ่งซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2553 “ศรัทธา” เขียนโดย เพชรยุพา บูรณ์สิริจรุงรัฐ นัก เขียนมือทอง บรรณาธิการ นักพูด และผู้ปฏิบัติธรรม  อ่านทบทวนอยู่หลายครั้ง ด้วยความศรัทธาต่อหนังสือ และต่อความศรัทธาของคุณเพชรยุพาที่ปรากฎออกมาเป็นตัวอักษรที่ลื่นไหล อ่านง่าย และสร้างพลังศรัทธาให้เกิดขึ้นในตัวเองได้อย่างมากมาย
ผมจึงต้องขออนุญาตคุณเพชรยุพา โดยพละการ ที่จะนำคำคม ความคิด และพลังแห่งศรัทธาบางส่วนในหนังสือ มาถ่ายทอดต่อ เพื่อให้ผู้อ่านบทความของผมนำไปประยุกต์ใช้ในการสร้างองค์กรให้เป็นองค์กร แห่งศรัทธา ความรัก และการให้
ผมเกริ่นไว้ข้างต้นว่า วันนี้เป็นวันแห่งความรัก แน่นอนว่า “ก่อนที่เราจะรักใครได้ เราคงต้องรักตัวเองให้เป็นเสียก่อน” ผมย้ำอีกครั้งว่า “รักตัวเองให้เป็น” ซึ่งไม่ใช่เป็น “การรักตัวเองแบบเห็นแก่ตัว โดยไม่สนใจความทุกข์ของผู้อื่น” นะครับ
การรักในตัวเองให้เป็นต้องเริ่มต้นที่เราต้องมีศรัทธาต่อตัวเอง บางคนทำลายคุณค่าและความศรัทธาตัวเองโดยไม่รู้ตัว ได้รับมอบหมายงานอะไรมาก็บ่นผ่านทาง Facebook ว่า “ฉันต้องทำไม่ได้แน่ๆ … โอย-ย-ยตาย-ย-ย เกิดมาไม่เคยทำอะไรที่ยากแสนยากอย่างนี้มาก่อนเลย” ถอด ใจไปเสียก่อนที่จะเริ่มทำซะแล้ว ลูกศิษย์ ป.โทของผมบางคน แค่ต้องคิดว่าจะต้องเสนอหัวข้อสารนิพนธ์ ก็ได้แต่บ่นว่าเครียดๆๆๆๆๆๆ  อือม์..แล้วหัวข้อสารนิพนธ์มันจะออกมาเป็นรูปร่างได้อย่างไรกัน
ความคิดลบ การยอมพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น นำพาซึ่งความท้อถอย หมดความมานะพยายาม และไม่ทำอะไรเลย ไม่ใช่ความผิดของเรา ที่หัวไม่ดี เรียนไม่เก่ง เรียนรู้ช้า ทำงานช้า ประจบสอพลอเจ้านายไม่เป็น ทำงานไม่เป็นที่ถูกใจเจ้านาย ถ้าเรายังคิดตอกย้ำกับตัวเองอย่างนี้ทุกวินาที ก็เท่ากับเรากำลังทำร้ายตัวเองให้แย่ลงไปทุกวัน
รักตัวเอง เริ่มต้นด้วยการมีศรัทธาต่อตัวเอง ทบทวนตัวเองก่อนว่า เรามีข้อบกพร่องอะไรที่ต้องแก้ไข ข้อบกพร่องอะไรของเราที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของเรา เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของทีมงาน เช่น เรารู้ว่าเราเป็นคนที่เข้าใจช้า ก็อย่าอายที่จะถาม เพื่อทบทวนความเข้าใจเพื่อที่จะทำงานไม่ผิดพลาด และไม่ทำให้งานที่ได้รับมอบหมายเสร็จล่าช้าออกไปอีก บอกกับตัวเองเพื่อสร้างศรัทธาให้กับตัวเอง ด้วยประโยคหรือคำที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจของตัวเอง เช่น “ไม่มีอะไรที่ยากเกินความสามารถของเราที่จะทำ” “งานนี้ต้องเสร็จ ต้องสำเร็จ”
แน่นอนว่า ความล้มเหลว ย่อมเป็นสิ่งที่เราจะได้พบเสมอในหนทางของชีวิต ดังนั้น เราต้องศรัทธาต่อความล้มเหลว ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะความล้มเหลวในงานหรือในชีวิตที่เกิดขึ้นนั้น ให้ถือเป็นบทเรียนที่ทรงคุณค่า ที่เราต้องเรียนรู้ พิจารณาให้เห็นถึงสาเหตุของความล้มเหลวที่เกิดขึ้น แน่นอนว่า ความล้มเหลวอาจเกิดจากตัวเราเป็นต้นเหตุเอง และความล้มเหลวอาจมาจากปัจจัยอื่นที่เราควบคุมไม่ได้ ดังนั้น เราอย่ามัวไปเสียเวลากับการโทษคนอื่น แต่ให้พิจารณาดูว่า ถ้าเราไม่ต้องการให้ความล้มเหลวเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เราจะป้องกันปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เหล่านั้นได้อย่างไร และเราจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวเราเองได้อย่างไร
รักคนอื่น เริ่มต้นด้วยการมีศรัทธาต่อผู้อื่น เราต้องมีศรัทธาต่อผู้อื่น ต่อเพื่อนร่วมงาน ลองนึกถึงภาพว่า ถ้าเรารู้สึกตลอดเวลาว่ามีเพื่อนร่วมงานคอยหวาดระแวง หาว่าเราเป็นจุดอ่อนของทีม ที่เราพร้อมจะโดนเพื่อนร่วมทีมกำจัดเราออกไปจากทีมอยู่ตลอดเวลา เราจะรู้สึกอย่างไร เราจึงมีความคาดหวังจะได้รับความศรัทธาจากผู้อื่นด้วยเช่นกัน
เมื่อทุกคนในองค์กรมีศรัทธาต่อตัวเอง รักตัวเอง พัฒนาตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเอง ความศรัทธาที่เพื่อนร่วมงานจะมีให้ต่อกัน ก็จะเป็นความศรัทธาที่ไม่มีความแคลงใจ เป็นศรัทธาที่ก่อให้เกิดความรักต่อเพื่อนร่วมงานอย่างแท้จริง เป็นความรักที่พร้อมจะให้ความเมตตาต่อกัน ให้ความเอื้ออาทร และพร้อมที่จะร่วมแบ่งปันทั้งความสุขและความทุกข์ ในฐานะที่เป็นมิตรที่ดีต่อกัน
ผมจึงอยากบอกผู้บริหารองค์กรทั้งหลายว่า จะสร้างทีมงานให้แข็ง แกร่งได้ ท่านต้องสร้างให้ตัวท่านและพนักงานมีศรัทธาต่อตัวเองเป็นพื้นฐานเสียก่อน แล้วจึงสร้างศรัทธาที่มีต่อเพื่อนร่วมงาน
พนักงานจะรักองค์กรได้ต้องมีศรัทธาต่อองค์กร ในฐานะคนทำงานในองค์กร ผมเชื่อว่าเราคงเคยได้ยินสิ่งที่เจ้าของกิจการ และผู้บริหารขององค์กรพยายามบอกเราเสมอว่า ขอให้เรามีความรักและจงรักภักดีต่อองค์กร มุ่งมั่นทำงานให้องค์กรอย่างเต็มที่ เพื่อการเจริญเติบโตขององค์กรและความก้าวหน้าในอาชีพการทำงาน

คำว่า “ความจงรักภักดี” เป็นคำที่มีความหมายแทนความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ต่อผู้ที่ไม่ทำร้ายเรา เจ้าของกิจการและผู้บริหารองค์กร ต้องถามตัวเองก่อนว่า เราได้ให้อะไรกับพนักงานที่จะทำให้พนักงานของเรารู้สึกถึงบุญคุณ มากกว่าค่าตอบแทนที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงงาน สติปัญญาของพนักงาน องค์กรได้ให้อะไรต่อสังคมที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการดำรงอยู่ขององค์กรโดยไม่ เอาเปรียบสังคม
ดังนั้น การที่องค์กร เจ้าของกิจการ ผู้บริหาร หัวหน้างาน จะได้รับความจงรักภักดีจากพนักงาน จึงต้องเริ่มต้นจากการเป็นผู้ให้ ให้ความรักต่อพนักงาน ให้ความศรัทธาต่อคุณค่าของพนักงาน ให้การดูแลต่อครอบครัวของพนักงาน ให้สิ่งที่มีคุณค่าต่อลูกค้า ให้การดูแลและรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และประเทศชาติ
ผมขอทิ้งท้ายด้วย คำคมของ คุณเพชรยุพา “ความรักในความศรัทธา เป็นเสมือนเส้นเลือดแดง ที่ทำให้มนุษย์สามารถดำเนินชีวิตและต่อสู้ พลังแห่งศรัทธา สามารถทำให้ผู้ศรัทธาถึงขนาดย้ายภูเขาได้”
http://phongzahrun.wordpress.com/2012/02/14/%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B2-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B1/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น